top of page

จากใจ "หมอต้น ณัฐวรรธ": เจาะลึกนวัตกรรมดูแล "โรคระบบประสาทและสมอง" สู่การฟื้นฟูชีวิตที่คลินิกหมอต้น

จากใจ "หมอต้น ณัฐวรรธ": เจาะลึกนวัตกรรมดูแล "โรคระบบประสาทและสมอง" สู่การฟื้นฟูชีวิตที่คลินิกหมอต้น
จากใจ "หมอต้น ณัฐวรรธ": เจาะลึกนวัตกรรมดูแล "โรคระบบประสาทและสมอง" สู่การฟื้นฟูชีวิตที่คลินิกหมอต้น

สวัสดีครับทุกท่าน ผม นายแพทย์ณัฐวรรธ วิฑูรย์ หรือที่หลายท่านรู้จักในนาม "หมอต้น" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเฉพาะทางระบบประสาทและสมอง ผู้ที่เชื่อมั่นในศักยภาพไร้ขีดจำกัดของสมองและร่างกายมนุษย์ และมุ่งมั่นที่จะนำพาความรู้ ความเข้าใจ และนวัตกรรมทางการแพทย์มาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกท่าน ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษในวิชาชีพแพทย์ ผมได้อุทิศตนให้กับการทำความเข้าใจความซับซ้อนของ โรคระบบประสาทและสมอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา ตั้งแต่การหายใจ การเต้นของหัวใจ ไปจนถึงความคิดที่ลึกซึ้ง ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน และการเคลื่อนไหวที่แม่นยำที่สุด


ด้วยความมุ่งมั่นนี้ ผมจึงได้ก่อตั้ง ศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านแห่งการฟื้นฟูที่อบอุ่นสำหรับผู้ป่วยสูงอายุและผู้ป่วยทางระบบประสาทที่ต้องการการดูแลระยะยาวอย่างใกล้ชิด รวมถึง ศูนย์ดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุ แทรงควิลา (Tranquila Elderly Care) ที่มอบบรรยากาศแห่งความสงบและเป็นส่วนตัวในการฟื้นฟูสุขภาพกายและใจ และหัวใจสำคัญของบริการด้านการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา คือ คลินิกหมอต้น - ณัฐวรรธ โรคระบบประสาทและสมอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับทุกท่านที่มีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพสมองและระบบประสาท


วันนี้ ผมอยากจะชวนทุกท่านมาสำรวจโลกของ โรคระบบประสาทและสมอง ในมิติที่ลึกซึ้งกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของภาวะสมองเสื่อม เส้นเลือดในสมองตีบ ไปจนถึงอาการปวดเรื้อรัง และการฟื้นฟูด้วยนวัตกรรมการแพทย์ที่ทันสมัยที่เรามีให้บริการ เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และการฟื้นฟูที่ถูกวิธีจะสามารถคืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ป่วยและคนที่คุณรักได้อย่างแท้จริงครับ

ทำไมสมองและระบบประสาทจึงเป็นหัวใจของชีวิต?

ทำไมสมองและระบบประสาทจึงเป็นหัวใจของชีวิต?
ทำไมสมองและระบบประสาทจึงเป็นหัวใจของชีวิต?

ถ้าให้ผมเปรียบเทียบชีวิตของเราเป็นเหมือนเรือเดินสมุทรลำใหญ่ที่เดินทางข้ามมหาสมุทร สมองและระบบประสาทก็เปรียบเสมือนห้องควบคุมและแผนที่นำทางที่สำคัญที่สุด การเดินทางจะราบรื่นไปได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ที่ความแข็งแรงของตัวเรือเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความแม่นยำของระบบควบคุมและคำสั่งที่ถูกส่งออกมาจากห้องบัญชาการแห่งนี้ หากระบบควบคุมมีปัญหา ไม่ว่าจะเพียงเล็กน้อยหรือรุนแรง การเดินทางของชีวิตก็อาจจะสะดุด หยุดนิ่ง หรืออาจจะหลงทางไปในที่สุด


นี่คือเหตุผลที่ผมในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน โรคระบบประสาทและสมอง มุ่งมั่นที่จะศึกษาและทำความเข้าใจอวัยวะที่น่าอัศจรรย์นี้มาโดยตลอด เพราะสมองและระบบประสาทไม่ใช่แค่เพียงอวัยวะหนึ่งในร่างกาย แต่เป็น "ศูนย์บัญชาการ" ที่ควบคุมทุกการทำงานของร่างกายและจิตใจของเราอย่างแม่นยำและเป็นระบบ สมองทำหน้าที่เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก เก็บข้อมูล ประมวลผลความคิด ความรู้สึก และออกคำสั่งให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างสอดคล้อง ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การพูด การหายใจ การเต้นของหัวใจ หรือแม้แต่การคิดเชิงนามธรรมอย่างการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ล้วนแล้วแต่ถูกควบคุมโดยสมองและระบบประสาทของเรา


เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมอยากจะพาทุกท่านไปสำรวจบทบาทอันยิ่งใหญ่ของสมองในมิติต่าง ๆ ของชีวิตเราครับ:

1. สมองคือผู้ควบคุมระบบการทำงานพื้นฐานของร่างกาย (Involuntary Control System) 

แม้เราจะไม่ได้สั่งการโดยตรง แต่สมองคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เช่น การหายใจ การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อุณหภูมิร่างกาย และการย่อยอาหาร ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) ที่ควบคุมสิ่งเหล่านี้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่เราไม่ต้องคิดถึงมันเลย ลองจินตนาการดูว่าหากการหายใจของเราต้องอาศัยการสั่งการด้วยความตั้งใจในทุกวินาที ชีวิตของเราคงจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นได้เลยครับ

2. สมองคือศูนย์กลางของความฉลาดและการเรียนรู้ (Cognitive and Learning Center) 

สมองคือที่ที่เก็บความทรงจำทั้งหมดของเรา ตั้งแต่ความทรงจำในวัยเด็กไปจนถึงข้อมูลล่าสุดที่เพิ่งได้รับเข้ามา สมองมีบทบาทสำคัญในการคิด การให้เหตุผล การแก้ไขปัญหา การวางแผน การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และความคิดสร้างสรรค์ เมื่อใดที่สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราก็สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างเฉียบแหลม และสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภาวะสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ หรือแม้แต่ภาวะ Brain Fog ที่เราเคยพูดถึง ก็คือภาวะที่สมองส่วนนี้เริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ความสามารถในการจดจำและคิดวิเคราะห์ถดถอยลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้าง

3. สมองคือตัวรับและประมวลผลความรู้สึกจากโลกภายนอก (Sensory Perception) 

เราจะรับรู้โลกภายนอกได้อย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะสมอง? สมองเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ตีความข้อมูลที่ได้รับจากประสาทสัมผัสทั้งห้าของเรา ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน การรับรส การดมกลิ่น และการสัมผัส สมองจะแปลงสัญญาณเหล่านี้เป็นภาพ เสียง รสชาติ กลิ่น และความรู้สึกที่เราสามารถเข้าใจได้ หากสมองมีปัญหา เราก็อาจจะมองเห็นภาพที่ไม่ชัดเจน ได้ยินเสียงที่ไม่ถูกต้อง หรือแม้กระทั่งรู้สึกชาและไม่สามารถรับความรู้สึกสัมผัสได้ ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วย โรคระบบประสาทและสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือผู้ป่วยที่มีอาการปลายประสาทอักเสบ

4. สมองคือผู้ควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor Control) 

ทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย ตั้งแต่การหยิบปากกา การเขียนหนังสือ ไปจนถึงการเดิน วิ่ง และกระโดด ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากคำสั่งของสมองที่ถูกส่งผ่านระบบประสาทลงไปยังกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากสมองหรือระบบประสาทมีปัญหา การเคลื่อนไหวที่เคยเป็นเรื่องง่ายดายในชีวิตประจำวันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากทันที อาการอ่อนแรง อัมพฤกษ์ หรืออัมพาตที่เกิดจากภาวะหลอดเลือดสมอง หรืออาการสั่นที่ควบคุมไม่ได้ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ล้วนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของสมอง

5. สมองคือผู้อยู่เบื้องหลังอารมณ์และบุคลิกภาพ (Emotional and Personality Regulation) 

หลายท่านอาจไม่ทราบว่าสมองมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมอารมณ์ของเรา สมองส่วนที่เรียกว่า Limbic System มีบทบาทสำคัญในการจัดการความรู้สึก ความกลัว ความสุข และความโกรธ ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมองสามารถนำไปสู่โรคทางอารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวล และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมองส่วนหน้าก็อาจส่งผลต่อบุคลิกภาพของผู้ป่วยโดยตรงได้

ด้วยบทบาทที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อนเช่นนี้ สมองจึงเป็นอวัยวะที่เราต้องให้ความสำคัญและดูแลเป็นพิเศษ และเมื่อใดก็ตามที่สมองมีปัญหา การรักษาจึงต้องเป็นการดูแลแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย การกระตุ้นการทำงานของสมองที่อ่อนแอลง และการฟื้นฟูเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนี่คือภารกิจหลักที่ผมและทีมงานทุกคนที่คลินิกหมอต้น CMNH และแทรงควิลายึดมั่นมาโดยตลอดครับ

จากแนวทางดั้งเดิมสู่นวัตกรรมการฟื้นฟูเซลล์สมอง

หากเรามองย้อนกลับไปในอดีต การดูแลสุขภาพสมองมักจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันและการใช้ยาที่มีฤทธิ์ในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง หรือยาที่ช่วยชะลอความเสื่อมตามวัย ยาเหล่านี้เปรียบเสมือน "ยาบำรุง" ที่ช่วยให้ระบบไหลเวียนทำงานได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การ "ซ่อมแซม" หรือ "ฟื้นฟู" เซลล์สมองที่เสียหายไปแล้วอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดในการรักษา โรคระบบประสาทและสมอง ที่ซับซ้อน


ในฐานะแพทย์ ผมได้เห็นถึงข้อจำกัดของแนวทางแบบดั้งเดิมมาโดยตลอด และนั่นคือเหตุผลที่ผมและทีมงานมุ่งมั่นที่จะนำนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อเปลี่ยนมุมมองจากการ "ประคับประคอง" ไปสู่การ "ฟื้นฟู" อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของบริการที่เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งที่คลินิกหมอต้น ณัฐวรรธ

เมื่อแนวทางดั้งเดิมมีข้อจำกัด: บทบาทของ Tanakan และ Tebonin forte

Tebonin forte
Tebonin forte
 Tanakan
 Tanakan

หากเรามองย้อนกลับไปในอดีต การดูแลสุขภาพสมองมักจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันและรักษาในเบื้องต้น หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อยาที่ดูคุ้นหูอย่าง Tanakan และ Tebonin forte ยาทั้งสองชนิดนี้มีสารสกัดหลักมาจากใบแปะก๊วย (Ginkgo Biloba Extract) ซึ่งถูกโฆษณาและนำเสนอมาอย่างยาวนานว่ามีสรรพคุณในการบำรุงสมองและช่วยเรื่องความจำ แต่ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน

โรคระบบประสาทและสมอง ผมอยากจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มากกว่านั้น เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจถึงข้อจำกัดของแนวทางแบบดั้งเดิม และเหตุผลที่เราจำเป็นต้องก้าวไปสู่นวัตกรรมการรักษาที่ล้ำสมัยกว่าครับ


บทบาทที่คุ้นเคย: สารสกัดจากใบแปะก๊วยทำงานอย่างไร?

สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Ginkgo Biloba Extract) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของทั้ง Tanakan และ Tebonin forte นั้น เชื่อว่ามีกลไกการทำงานหลัก 2 ประการด้วยกัน:

  1. การเพิ่มการไหลเวียนโลหิต: สารสำคัญในใบแปะก๊วยมีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดเลือดเล็ก ๆ โดยเฉพาะในบริเวณสมอง ทำให้เลือดสามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงเซลล์สมองได้ดีขึ้น เมื่อสมองได้รับเลือดและออกซิเจนอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยลดอาการที่เกิดจากภาวะเลือดไหลเวียนไม่ดี เช่น อาการเวียนศีรษะ หูอื้อ และอาจช่วยให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น

  2. การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant): สารสกัดจากใบแปะก๊วยมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ทำลายเซลล์ในร่างกาย รวมถึงเซลล์สมอง การลดปริมาณอนุมูลอิสระจะช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง และปกป้องสมองจากความเสียหายในระดับเซลล์ได้บางส่วน

ด้วยกลไกเหล่านี้ ทำให้ Tanakan และ Tebonin forte ได้รับความนิยมและถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลงลืมเล็กน้อย หรือผู้ที่ต้องการ "บำรุง" สมองตามความเชื่อดั้งเดิม


ข้อจำกัดที่สำคัญ: เมื่อยาบำรุงไม่สามารถ "ซ่อมแซม" ได้

แม้ว่า Tanakan และ Tebonin forte จะมีประโยชน์ในแง่ของการช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและชะลอความเสื่อมเล็กน้อย แต่ในฐานะแพทย์ ผมมองว่ายาทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทคล้ายคลึงกับ "อาหารเสริม" หรือ "ยาบำรุง" มากกว่าจะเป็น "ยาหลัก" ในการรักษา โรคระบบประสาทและสมอง ที่แท้จริง


ลองจินตนาการดูว่าหากบ้านของเรามีรอยร้าวขนาดใหญ่ที่โครงสร้าง การทาสีหรือปรับปรุงผิวผนังภายนอกอาจทำให้บ้านดูดีขึ้นในระยะสั้น แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แก่นของโครงสร้างได้ฉันใด การใช้ยาบำรุงสมองที่มีคุณสมบัติเพียงแค่การเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ก็ไม่สามารถซ่อมแซมเซลล์ประสาทที่เสียหายอย่างรุนแรงจากโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะสมองเสื่อมได้ฉันนั้น


ข้อจำกัดที่สำคัญของ Tanakan และ Tebonin forte ได้แก่:

  • ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การฟื้นฟูเซลล์โดยตรง: ยาเหล่านี้ไม่ได้มีคุณสมบัติในการเข้าไป "ซ่อมแซม" เยื่อหุ้มเซลล์ประสาทที่เสียหาย หรือกระตุ้นการสร้างการเชื่อมต่อใหม่ ๆ ระหว่างเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการฟื้นตัวจากอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือภาวะสมองเสื่อมในระยะลุกลาม

  • ประสิทธิภาพที่ยังไม่เพียงพอต่อโรคซับซ้อน: สำหรับผู้ป่วย โรคระบบประสาทและสมอง ที่มีอาการรุนแรง เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่แขนขาอ่อนแรง หรือผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เริ่มมีปัญหาความจำอย่างหนัก การพึ่งพายาที่มีสารสกัดจากใบแปะก๊วยเพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอต่อการรักษาอย่างแน่นอน และอาจทำให้ผู้ป่วยเสียเวลาและโอกาสในการฟื้นตัวที่ควรจะได้รับจากแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกว่า

  • ไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์: การใช้ยาทั้งสองชนิดนี้โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และนำมาใช้แทนยาที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาโรคที่ซับซ้อน อาจส่งผลให้อาการของผู้ป่วยทรุดลงได้


ดังนั้น การใช้ Tanakan และ Tebonin forte จึงควรอยู่ในบทบาทของ "ตัวช่วยเสริม" สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงสมองในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ใช่ทางเลือกหลักสำหรับผู้ป่วยที่เผชิญกับ โรคระบบประสาทและสมอง ที่ต้องการการรักษาและการฟื้นฟูที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริงครับ


และนี่คือเหตุผลที่ผมและทีมงานที่คลินิกหมอต้น ณัฐวรรธ ได้นำนวัตกรรมการรักษาที่ล้ำสมัยอย่าง ยาฟื้นฟูเซลล์สมอง Cerebrolysin และ Somazina เข้ามาใช้ในการรักษา เพื่อยกระดับจากการ "บำรุง" สู่การ "ซ่อมแซม" และ "ฟื้นฟู" เซลล์สมองในระดับที่ลึกกว่า เพื่อมอบผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยทุกท่านครับ

ก้าวสู่การฟื้นฟูเชิงลึก: ยาฟื้นฟูเซลล์สมอง Cerebrolysin และ Somazina

หากเรามองการรักษา โรคระบบประสาทและสมอง แบบดั้งเดิมเปรียบเสมือนการซ่อมแซมรอยแตกร้าวบนกำแพงด้วยการทาสีใหม่ การรักษาในปัจจุบันก็เปรียบเสมือนการเสริมเหล็กและคอนกรีตลงไปในโครงสร้างเพื่อซ่อมแซมจากภายในอย่างแท้จริงครับ


ที่คลินิกหมอต้น ณัฐวรรธ เราเข้าใจดีว่ายาบำรุงทั่วไปนั้นมีข้อจำกัดในการซ่อมแซมเซลล์สมองที่เสียหายไปแล้วอย่างรุนแรง นั่นคือเหตุผลที่เราได้นำนวัตกรรมด้านเภสัชกรรมที่ล้ำหน้าเข้ามาใช้ นั่นคือ ยาฟื้นฟูเซลล์สมอง Cerebrolysin และ Somazina ซึ่งเป็นยาฉีดที่ใช้ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด

Cerebrolysin: สารอาหารชั้นเลิศเพื่อการสร้างใหม่ของเซลล์สมอง

Cerebrolysin: สารอาหารชั้นเลิศเพื่อการสร้างใหม่ของเซลล์สมอง
Cerebrolysin: สารอาหารชั้นเลิศเพื่อการสร้างใหม่ของเซลล์สมอง

คลินิกหมอต้น ณัฐวรรธ เราเข้าใจดีว่ายาบำรุงทั่วไปนั้นมีข้อจำกัดในการซ่อมแซมเซลล์สมองที่เสียหายไปแล้วอย่างรุนแรง นั่นคือเหตุผลที่เราได้นำนวัตกรรมด้านเภสัชกรรมที่ล้ำหน้าเข้ามาใช้ นั่นคือ ยาฟื้นฟูเซลล์สมอง Cerebrolysin ซึ่งเป็นยาฉีดที่ใช้ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด


กลไกการทำงานที่ล้ำลึก: Neurotrophic Factors

ยาฟื้นฟูเซลล์สมอง Cerebrolysin ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวงการประสาทวิทยา ตัวยาเป็นโปรตีนเปปไทด์ (Peptides) ที่ได้จากการสกัดสมองของสุกร ซึ่งอาจฟังดูไม่คุ้นหู แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว เปปไทด์เหล่านี้มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับสารอาหารและสารสื่อประสาทที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการอยู่รอดของเซลล์ประสาทในสมองของมนุษย์เราเอง สารสำคัญเหล่านี้เรียกรวมกันว่า Neurotrophic Factors (นิวโรทรอฟิก แฟกเตอร์)


เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย Cerebrolysin จะเข้าไปทำงานโดยตรงกับเซลล์ประสาทที่กำลังจะตายหรือทำงานผิดปกติ ยาจะทำหน้าที่คล้ายกับ "ผู้ช่วยชีวิต" โดยเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์ประสาทสร้างสาร Neurotrophic Factors เพิ่มขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหมือนสารอาหารชั้นเลิศที่ช่วย:

  • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาท: ทำให้เซลล์ประสาทที่เสียหายมีโอกาสฟื้นตัวและเติบโตได้อีกครั้ง

  • สร้างการเชื่อมต่อใหม่: ช่วยให้เซลล์ประสาทสามารถสร้างการเชื่อมต่อ (Synapse) ใหม่ ๆ ระหว่างกันได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการฟื้นฟูสมองและระบบประสาท

  • ลดการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เซลล์สมองเสื่อมสภาพ

  • ป้องกันเซลล์จากความเครียด: ช่วยปกป้องเซลล์จากภาวะความเครียดในระดับออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมของสมอง


เหมาะสำหรับใคร?

ด้วยกลไกการทำงานที่ทรงพลังเช่นนี้ Cerebrolysin จึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วย โรคระบบประสาทและสมอง ที่ต้องการการฟื้นฟูเชิงลึก เช่น:

  • ผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะฟื้นตัว ซึ่งต้องการการฟื้นฟูสมองอย่างเร่งด่วนเพื่อลดความเสียหายและฟื้นฟูการทำงานที่สูญเสียไป

  • ผู้ป่วย โรคสมองเสื่อม (Dementia) เช่น โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งต้องการชะลอความเสื่อมและฟื้นฟูความสามารถในการจดจำและการรับรู้

  • ผู้ที่ได้รับ บาดเจ็บทางสมอง (Traumatic Brain Injury: TBI) หรือผู้ป่วยที่มีภาวะสมองขาดออกซิเจน


การใช้ Cerebrolysin เปรียบเสมือนการเติมพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นให้กับเซลล์สมองโดยตรง ทำให้สมองมีโอกาสฟื้นตัวและสร้างการเชื่อมต่อใหม่ ๆ ได้ดีกว่าการบำรุงด้วยยาที่เพียงแค่เพิ่มการไหลเวียนของเลือดครับ นี่คือแนวทางที่แท้จริงของการฟื้นฟูจากภายในที่เราเชื่อมั่นและเลือกใช้ เพื่อมอบผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยทุกท่าน

Somazina (Citicoline): สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เซลล์ประสาท

Somazina (Citicoline): สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เซลล์ประสาท
Somazina (Citicoline): สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เซลล์ประสาท

เราเข้าใจดีว่าการฟื้นฟูเซลล์สมองนั้นไม่ใช่แค่การบำรุงด้วยสารอาหารทั่วไป แต่ต้องเป็นการซ่อมแซมและสร้างใหม่ในระดับโครงสร้างของเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา โรคระบบประสาทและสมอง นั่นคือเหตุผลที่เราได้นำ Somazina ซึ่งมีสารสำคัญคือ Citicoline เข้ามาใช้ในการรักษา เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนครับ


กลไกการทำงาน: Citicoline คือสารตั้งต้นในการสร้างโครงสร้างเซลล์

Somazina ทำงานโดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างและซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นชั้นไขมันที่ทำหน้าที่ห่อหุ้มและปกป้องเซลล์ประสาททั้งหมด เปรียบเสมือนผนังและหลังคาของบ้านที่ช่วยปกป้องโครงสร้างภายใน การที่เยื่อหุ้มเซลล์เสียหายไม่ว่าจะจากภาวะสมองขาดเลือดหรือความเสื่อมตามวัย จะส่งผลให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติหรือเสื่อมสภาพไปในที่สุด


Citicoline ซึ่งเป็นสารสำคัญใน Somazina มีบทบาทหลัก 2 ประการที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูสมอง:

  1. สารตั้งต้นการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane): Citicoline เป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายใช้ในการผลิต Phosphatidylcholine ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท เมื่อมีการให้ Somazina ร่างกายจะสามารถสร้างและซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซลล์ที่เสียหายได้ดีขึ้น ทำให้เซลล์ประสาทมีความสมบูรณ์ แข็งแรง และพร้อมสำหรับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

  2. เพิ่มการผลิตสารสื่อประสาท: นอกจากจะช่วยเรื่องโครงสร้างแล้ว Citicoline ยังช่วยเพิ่มการผลิตสารสื่อประสาทสำคัญอย่าง Acetylcholine ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อ ความจำ การเรียนรู้ และการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท การทำงานของสมองจะดีขึ้นเมื่อการสื่อสารภายในระบบประสาทเป็นไปอย่างราบรื่น


เหมาะสำหรับใคร?

ด้วยคุณสมบัติในการสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างของเซลล์ประสาท Somazina จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วย:

  • ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): ทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะฟื้นตัว เพื่อช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาทและส่งเสริมการฟื้นตัวจากการสูญเสียการทำงาน

  • ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม: ทั้งในระยะเริ่มต้นและระยะกลาง เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมและฟื้นฟูความสามารถในการจดจำและการคิดวิเคราะห์

  • ผู้ที่ต้องการบำรุงสมองโดยรวม: สำหรับผู้ที่เผชิญกับภาวะสมองล้า หรือต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองโดยรวม


การใช้ Somazina ถือเป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟู โรคระบบประสาทและสมอง จากภายใน โดยมุ่งเน้นที่การสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์ประสาท ทำให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างยั่งยืน และช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขครับ

ปลุกพลังสมองด้วยนวัตกรรมการกระตุ้นจากภายนอก: โปรแกรม TMS, PMS และ TPS

 ในขณะที่เรามุ่งเน้นการฟื้นฟูเซลล์สมองจากภายในด้วยยาและสารอาหารชั้นเลิศอย่าง Cerebrolysin และ Somazina แล้วนั้น ยังมีอีกหนึ่งมิติสำคัญของการรักษาที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือการ "ปลุก" และ "กระตุ้น" การทำงานของสมองและระบบประสาทจากภายนอกด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัย และปลอดภัย ซึ่งเป็นการเติมเต็มการรักษาแบบองค์รวมที่เรายึดมั่นที่คลินิกหมอต้น ณัฐวรรธ


หากเปรียบการฟื้นฟูสมองเป็นเหมือนการสร้างบ้าน การใช้ยาก็คือการจัดหาวัสดุก่อสร้างที่จำเป็น ส่วนนวัตกรรมการกระตุ้นจากภายนอกนี้ก็เปรียบเสมือน "เครื่องมือช่าง" ชั้นเยี่ยมที่ช่วยให้เราสามารถจัดเรียงวัสดุเหล่านั้นให้เข้าที่เข้าทาง และกระตุ้นให้บ้านหลังใหม่แข็งแรงและพร้อมใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นครับ

โปรแกรม TMS (Transcranial Magnetic Stimulation): กระตุ้นเซลล์สมองสู่การฟื้นตัว 

โปรแกรม TMS (Transcranial Magnetic Stimulation): กระตุ้นเซลล์สมองสู่การฟื้นตัว 
โปรแกรม TMS (Transcranial Magnetic Stimulation): กระตุ้นเซลล์สมองสู่การฟื้นตัว 

หากเปรียบการฟื้นฟูสมองเป็นเหมือนการฟื้นฟูร่างกายที่อ่อนแรงจากการเจ็บป่วย โปรแกรม TMS ก็เปรียบเสมือนการทำกายภาพบำบัดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่มุ่งตรงไปยัง "กล้ามเนื้อสมอง" เพื่อช่วยให้สมองกลับมาทำงานได้อย่างแข็งแรงอีกครั้งครับ


ทำความเข้าใจกับ TMS: เทคโนโลยีที่ไม่รุกรานและปลอดภัย

โปรแกรม TMS คือเทคโนโลยีการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Transcranial Magnetic Stimulation) ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากลว่าเป็นแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพและไม่รุกราน คำว่า "ไม่รุกราน" ในที่นี้มีความหมายที่สำคัญมากครับ เพราะผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้เข็มฉีด และไม่ต้องพักฟื้นหลังการรักษา การรักษาใช้เวลาไม่นานในแต่ละครั้ง โดยทั่วไปแล้วอยู่ที่ประมาณ 30-60 นาที และผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที


ผมมักจะเปรียบเทียบการรักษาด้วย TMS ให้ผู้ป่วยฟังว่า มันคล้ายกับการนำพลังงานจากภายนอกเข้าไปช่วย "รีบูต" หรือ "รีเซ็ต" การทำงานของเซลล์สมองที่ทำงานผิดปกติ ให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่ขาดพลังงานหรือทำงานมากจนเกินไป


กลไกการทำงาน: คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ช่วยจัดระเบียบวงจรประสาท

หัวใจสำคัญของ โปรแกรม TMS อยู่ที่การใช้ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า (Coil) ที่วางอยู่เหนือศีรษะบริเวณที่ต้องการกระตุ้น ขดลวดจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูงเข้าไปยังบริเวณเป้าหมายของสมองอย่างแม่นยำ คลื่นแม่เหล็กเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าที่อ่อนมากในเนื้อเยื่อสมอง โดยมีความเข้มข้นไม่ต่างจากกระแสไฟฟ้าที่สมองสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติครับ


การส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปอย่างต่อเนื่องและเป็นจังหวะ จะช่วยปรับเปลี่ยนการทำงานของวงจรประสาทในสมอง ทำให้เซลล์ประสาทสามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น เปรียบเสมือนการ "จัดระเบียบ" เส้นทางในระบบการสื่อสารที่เคยติดขัดให้กลับมาไหลลื่นอีกครั้ง การทำซ้ำ ๆ ตามระยะเวลาที่กำหนดจะช่วย:

  • เพิ่มการทำงานในส่วนที่ขาด: สำหรับผู้ป่วยบางโรค เช่น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ที่สมองบางส่วนทำงานน้อยกว่าปกติ การกระตุ้นด้วย TMS จะช่วยเพิ่มการทำงานในบริเวณนั้น

  • ลดการทำงานในส่วนที่เกิน: ในทางกลับกัน สำหรับผู้ป่วยบางโรค เช่น ไมเกรน หรืออาการปวดเรื้อรัง ที่สมองบางส่วนทำงานมากจนเกินไปและส่งสัญญาณความเจ็บปวดออกมาผิดปกติ การกระตุ้นด้วย TMS จะช่วยลดการทำงานที่มากเกินไปนั้นลง

  • สร้างการเชื่อมต่อใหม่ (Neuroplasticity): โปรแกรม TMS ยังช่วยกระตุ้นการสร้างการเชื่อมต่อใหม่ ๆ ระหว่างเซลล์ประสาท ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการฟื้นตัวจากความเสียหายทางสมอง เช่น หลังภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก


โปรแกรม TMS เหมาะสำหรับใคร?

ด้วยกลไกการทำงานที่แม่นยำและปลอดภัย โปรแกรม TMS จึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ป่วย โรคระบบประสาทและสมอง และโรคทางจิตเวชหลายชนิด ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอาการดังต่อไปนี้:

  • ภาวะซึมเศร้า: TMS เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้าที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา และเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้ยาต่อเนื่อง

  • ความจำบกพร่อง: ช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ ลดอาการหลงลืมและช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ในผู้ป่วยที่มีภาวะความจำถดถอย

  • การฟื้นฟูหลังโรคหลอดเลือดสมอง: ใช้ในการฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของแขนขาที่อ่อนแรง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) และการทำงานของระบบประสาทที่ได้รับผลกระทบ โดยการกระตุ้นสมองส่วนที่รับผิดชอบต่อการเคลื่อนไหว เพื่อให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น

  • ไมเกรน: ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรัง

  • ภาวะสมองเสื่อม: งานวิจัยในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า โปรแกรม TMS อาจช่วยชะลอความเสื่อมและฟื้นฟูความสามารถในการรับรู้ในผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมบางรายได้อีกด้วย


โปรแกรม TMS ถือเป็นความหวังใหม่ในการรักษา โรคระบบประสาทและสมอง เพราะเป็นการเข้าถึงการรักษาที่ต้นเหตุของการทำงานที่ผิดปกติของสมอง โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดหรือยาที่รุนแรง และเมื่อใช้ร่วมกับการฟื้นฟูด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ยา Cerebrolysin หรือ Somazina และการทำกายภาพบำบัด ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นตัวและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วครับ

โปรแกรม PMS (Peripheral Magnetic Stimulation): ปลุกพลังเส้นประสาทส่วนปลาย

โปรแกรม PMS (Peripheral Magnetic Stimulation): ปลุกพลังเส้นประสาทส่วนปลาย
โปรแกรม PMS (Peripheral Magnetic Stimulation): ปลุกพลังเส้นประสาทส่วนปลาย

เราเข้าใจดีว่าปัญหาที่เกี่ยวกับเส้นประสาทส่วนปลาย ไม่ว่าจะเป็นอาการชา อาการปวด หรือความอ่อนแรง ไม่ได้เป็นเพียงอาการเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งที่บั่นทอนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างยิ่ง นั่นคือเหตุผลที่เราได้นำ โปรแกรม PMS (Peripheral Magnetic Stimulation) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการกระตุ้นที่มุ่งเป้าหมายไปยังเส้นประสาทส่วนปลายโดยเฉพาะ เพื่อปลุกพลังและฟื้นฟูการทำงานที่ถูกทำลายให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้งครับ


ทำความเข้าใจกับ PMS: การกระตุ้นเฉพาะจุดที่แม่นยำ

ในขณะที่ โปรแกรม TMS มุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นสมองส่วนกลางที่อยู่ภายในกะโหลกศีรษะ โปรแกรม PMS จะมุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นเส้นประสาทและกล้ามเนื้อส่วนปลายที่อยู่ทั่วร่างกายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างจำเพาะเจาะจง นี่คือความแตกต่างที่สำคัญ ซึ่งทำให้ PMS สามารถตอบโจทย์ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนปลายได้อย่างตรงจุด การรักษาด้วย โปรแกรม PMS เป็นวิธีการที่ไม่รุกราน ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บตัว และแต่ละครั้งใช้เวลาสั้นเพียง 5-10 นาทีต่อจุดเท่านั้น ทำให้สะดวกและรวดเร็ว


ผมมักจะอธิบายให้ผู้ป่วยฟังว่า โปรแกรม PMS ทำงานคล้ายกับการ "เคาะ" หรือ "กระตุ้น" เส้นประสาทที่กำลังอ่อนแรงหรือทำงานผิดปกติให้กลับมาทำงานได้อย่างเหมาะสมอีกครั้ง


กลไกการทำงาน: คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สร้างกระแสไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาท

หัวใจสำคัญของ โปรแกรม PMS คือการใช้ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า (Coil) ที่มีขนาดเล็กกว่าของ TMS และถูกออกแบบมาเพื่อวางบนผิวหนังเหนือบริเวณที่เส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อได้รับผลกระทบ ขดลวดจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูงเข้าไปยังเนื้อเยื่อ คลื่นแม่เหล็กเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าที่อ่อนมากในเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ และช่วยกระตุ้นการส่งสัญญาณประสาทที่เคยติดขัดให้กลับมาทำงานได้อย่างราบรื่น

การกระตุ้นซ้ำ ๆ ในบริเวณที่เหมาะสมจะช่วย:

  • กระตุ้นการฟื้นตัวของเส้นประสาท: ช่วยให้เส้นประสาทที่เสียหายจากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่าง ๆ สามารถฟื้นตัวและสร้างการเชื่อมต่อใหม่ได้ดีขึ้น

  • ลดอาการชาและอาการปวด: การกระตุ้นเส้นประสาทจะช่วยปรับสมดุลการส่งสัญญาณประสาท ทำให้ความรู้สึกชาหรืออาการปวดที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทลดลง

  • เพิ่มการไหลเวียนโลหิต: การกระตุ้นกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปยังบริเวณที่ถูกกระตุ้น ซึ่งช่วยนำสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ ทำให้กระบวนการฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็ว

  • ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ: สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง หรือผู้ป่วยที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม การกระตุ้นด้วย PMS จะช่วยคลายการเกร็งของกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดเมื่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


โปรแกรม PMS เหมาะสำหรับใคร?

โปรแกรม PMS เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหรือภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทส่วนปลาย ดังต่อไปนี้:

  • อาการชามือ ชาปลายเท้า: จากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ภาวะปลายประสาทอักเสบจากโรคเบาหวาน โรคไต หรือแม้แต่อาการชาจากภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

  • การบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อ: ช่วยเร่งกระบวนการฟื้นตัวและลดอาการปวดจากการบาดเจ็บหลังการเล่นกีฬา หรืออุบัติเหตุ

  • อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อเรื้อรัง: เช่น อาการปวดคอ บ่า ไหล่ หรือหลัง ซึ่งมักพบในผู้ที่มีพฤติกรรมนั่งทำงานเป็นเวลานาน (ออฟฟิศซินโดรม)

  • การฟื้นฟูหลังโรคหลอดเลือดสมอง: นอกจาก โปรแกรม TMS ที่ช่วยฟื้นฟูสมองส่วนกลางแล้ว โปรแกรม PMS ยังสามารถใช้ร่วมกับการกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่อ่อนแรงบริเวณแขนและขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ โปรแกรม PMS ถือเป็นการเติมเต็มการรักษา โรคระบบประสาทและสมอง ของเราให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพราะเป็นการเข้าถึงการรักษาได้ทั้งระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย เมื่อใช้ร่วมกับการฟื้นฟูด้วยวิธีอื่น ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วครับ

โปรแกรม TPS (Transcranial Pulse Stimulation): "ฟื้นความทรงจำ...ก่อนที่จะหายไปตลอดกาล"

โปรแกรม TPS (Transcranial Pulse Stimulation): "ฟื้นความทรงจำ...ก่อนที่จะหายไปตลอดกาล"
โปรแกรม TPS (Transcranial Pulse Stimulation): "ฟื้นความทรงจำ...ก่อนที่จะหายไปตลอดกาล"

ถ้าให้ผมเปรียบความทรงจำเป็นเหมือนดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ยิ่งเรามีความทรงจำมากเท่าไร ชีวิตของเราก็ยิ่งส่องสว่างและมีความหมายมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อใดที่ดวงดาวเหล่านั้นเริ่มจางหายไป ชีวิตก็อาจจะค่อย ๆ มืดมนลง นั่นคือความจริงอันน่าเศร้าของผู้ป่วยที่เผชิญกับภาวะสมองเสื่อม


ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน โรคระบบประสาทและสมอง ผมเชื่อว่าเราไม่ควรยอมแพ้ต่อความมืดมิดเหล่านั้น และนั่นคือเหตุผลที่เราได้นำนวัตกรรมล้ำหน้าล่าสุดที่เปรียบเสมือนแสงสว่างแห่งความหวัง นั่นคือ โปรแกรม TPS (Transcranial Pulse Stimulation) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อฟื้นฟูความทรงจำโดยเฉพาะ


TPS คืออะไร? นวัตกรรมการกระตุ้นที่เข้าถึงสมองส่วนลึก

โปรแกรม TPS คือการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นพัลส์พลังงานต่ำ (Low-intensity acoustic pulses) ซึ่งแตกต่างจาก โปรแกรม TMS ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า TPS ใช้คลื่นเสียงชนิดพิเศษที่สามารถทะลุผ่านกะโหลกศีรษะเข้าไปยังเนื้อเยื่อสมองในระดับที่ลึกกว่า โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายใด ๆ ต่อผิวหนังและเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ


ผมมักจะเปรียบเทียบการทำงานของ TPS ให้ผู้ป่วยฟังว่า มันคล้ายกับการส่งสัญญาณ "กระตุ้น" ที่อ่อนโยนแต่ทรงพลังเข้าไปในส่วนที่สำคัญที่สุดของสมองที่เรียกว่า Hippocampus ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "โรงงาน" ที่ทำหน้าที่ผลิตและจัดเก็บความทรงจำของเราครับ


กลไกการทำงาน: มุ่งเป้าหมายที่ Hippocampus

หัวใจสำคัญที่ทำให้ โปรแกรม TPS เป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามองอย่างยิ่งคือความสามารถในการมุ่งเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในบริเวณ Hippocampus ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก ๆ ในผู้ป่วย โรคสมองเสื่อม และ โรคอัลไซเมอร์ การกระตุ้นด้วยคลื่นพัลส์ของ TPS จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสมองหลายประการ:

  • กระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ (Neurogenesis): TPS จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์สมองที่เหลืออยู่และเซลล์ต้นกำเนิดสามารถเติบโตและสร้างเป็นเซลล์ประสาทใหม่ขึ้นมาได้ ซึ่งเปรียบเสมือนการเติมกำลังคนใหม่ ๆ ให้กับโรงงานที่กำลังอ่อนแรง

  • เพิ่มการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท (Synaptogenesis): นอกจากจะช่วยสร้างเซลล์ใหม่แล้ว คลื่นพัลส์ยังช่วยให้เซลล์ประสาทสามารถสร้างการเชื่อมต่อระหว่างกันได้ดีขึ้น ทำให้ระบบการสื่อสารภายในสมองมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • เพิ่มการไหลเวียนโลหิต: การกระตุ้นด้วย TPS ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังบริเวณที่ถูกกระตุ้น ทำให้สมองได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นตัว


โปรแกรม TPS เหมาะสำหรับใคร?

ด้วยคุณสมบัติที่มุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูความจำโดยตรง โปรแกรม TPS จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่กำลังเผชิญกับ โรคระบบประสาทและสมอง ที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจดจำและการรับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มดังต่อไปนี้:

  • ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง: TPS ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยชะลอความเสื่อมของสมองและฟื้นฟูความสามารถในการจดจำให้กับผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยที่มีปัญหาความจำบกพร่อง: สำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการหลงลืมหรือมีปัญหาในการจดจ่อ TPS สามารถช่วยฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้

  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และสมาธิ: นอกเหนือจากความจำ TPS ยังสามารถช่วยปรับสมดุลอารมณ์และเพิ่มสมาธิในผู้ป่วยบางรายได้อีกด้วย

โปรแกรม TPS ถือเป็นความหวังใหม่ในการรักษา โรคระบบประสาทและสมอง เพราะเป็นการเข้าถึงการรักษาที่ต้นเหตุของปัญหาอย่างตรงจุด โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดหรือยาที่รุนแรง และเมื่อใช้ร่วมกับการฟื้นฟูด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ยาฟื้นฟูเซลล์สมองและการทำกายภาพบำบัด ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นตัวและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วครับ การได้เห็นผู้ป่วยกลับมาจดจำเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตได้อีกครั้ง ถือเป็นความสุขและความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมในฐานะแพทย์ครับ


การบูรณาการการรักษาจากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายจากภายในด้วยยาฟื้นฟูเซลล์สมอง ไปจนถึงการกระตุ้นจากภายนอกด้วยเทคโนโลยีอย่าง TMS, PMS และ TPS ทำให้เราสามารถวางแผนการรักษาที่จำเพาะเจาะจงกับผู้ป่วยแต่ละรายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และมอบความหวังใหม่ในการฟื้นฟูให้กับผู้ป่วย โรคระบบประสาทและสมอง ซึ่งเป็นความเชื่อและเป้าหมายสูงสุดของผมในฐานะแพทย์ครับ

การรักษาแบบองค์รวมที่คลินิกหมอต้น CMNH และแทรงควิลา

ผมเชื่อว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้ยาหรือเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง แต่ต้องเป็นการบูรณาการทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ นั่นคือแนวคิดที่เรายึดมั่นในการดูแลผู้ป่วยที่ ศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) และ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุ แทรงควิลา (Tranquila Elderly Care)

ศูนย์ดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุ แทรงควิลา (Tranquila Elderly Care)
ศูนย์ดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุ แทรงควิลา (Tranquila Elderly Care)

เราเข้าใจดีว่าผู้ป่วยที่เผชิญกับ โรคระบบประสาทและสมอง มักจะมีปัญหาที่ซับซ้อนและหลากหลาย การรักษาจึงต้องเป็นแบบองค์รวม (Holistic Care) เราไม่ได้เพียงแต่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยอย่าง โปรแกรม TMS, PMS, TPS หรือการใช้ ยาฟื้นฟูเซลล์สมอง Cerebrolysin และ Somazina เท่านั้น แต่เรายังมีทีมสหวิชาชีพที่แข็งแกร่ง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ


ทีมสหวิชาชีพ: หัวใจของการดูแลที่ครบวงจร

หัวใจของการรักษาแบบองค์รวมของเราคือทีมสหวิชาชีพที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการคืนคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย


การดูแลแบบเฉพาะบุคคลที่ครอบคลุมทุกมิติของชีวิต

การรักษาแบบองค์รวมของเราที่ CMNH และ Tranquila ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาอาการป่วย แต่ยังรวมไปถึงการดูแลในทุกมิติของชีวิตผู้ป่วย:

  • การดูแลแบบเฉพาะบุคคล: เราสร้างแผนการดูแลรายบุคคลที่เหมาะสมกับความต้องการและอาการของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพสูงสุด

  • สภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและปลอดภัย: สถานที่ของเราได้รับการออกแบบมาให้มีความปลอดภัยและให้ความรู้สึกเหมือน "บ้าน" ที่อบอุ่น เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายในระหว่างการฟื้นฟู

  • กิจกรรมและสังคม: เราส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เพื่อช่วยกระตุ้นสมองและสุขภาพจิตโดยรวม

  • การสนับสนุนครอบครัว: เราเข้าใจดีว่าการดูแลผู้ป่วย โรคระบบประสาทและสมอง เป็นภาระที่หนักหน่วงสำหรับครอบครัว เราจึงพร้อมที่จะให้คำปรึกษาและคำแนะนำแก่ครอบครัว เพื่อคลายความวิตกกังวลและช่วยให้พวกเขาสามารถดูแลคนที่รักได้อย่างเหมาะสมที่สุด

การบูรณาการการรักษาที่ล้ำสมัยเข้ากับการดูแลแบบองค์รวม ทำให้เราสามารถมอบผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด และช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืนครับ

ศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) 
ศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) 

ก้าวสำคัญสู่ทศวรรษใหม่: CMNH จับมือ MASTER Style Plc. ยกระดับการดูแลสุขภาพสู่ความเป็นเลิศ

ความสำเร็จที่ผ่านมา ตลอดจนวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทำให้ CMNH ได้รับความเชื่อมั่นและโอกาสครั้งสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น นั่นคือการเข้าร่วมลงทุนจาก บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ ไม่เพียงนำมาซึ่งการลงทุนด้านการเงินที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการนำมาซึ่งองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการแบบมืออาชีพจาก MASTER ซึ่งมีประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจสุขภาพ การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย และโอกาสในการขยายเครือข่ายบริการให้กว้างขวางและเข้าถึงได้มากขึ้น


จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือครั้งนี้ คือการที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุและผู้ป่วยด้าน โรคระบบประสาทและสมอง ของเราจะสามารถเติบโตไปเป็น "โรงพยาบาลฟื้นฟูเฉพาะทางด้านระบบประสาทและสมอง" นี่คือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเรามุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะยกระดับการให้บริการสู่ความเป็นเลิศ เพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างสูงสุด และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ประเทศไทยมีทางเลือกในการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยกลุ่มภาวะพึ่งพิงอย่างมืออาชีพ

วิสัยทัศน์ปลายทางของพวกเราไม่ได้แค่การมีโรงพยาบาลหรือศูนย์รักษาเฉพาะทางเพียงแห่งเดียว แต่คือการเป็น "บริษัทมหาชน" ที่ดำเนินธุรกิจครบวงจรในการดูแลผู้ป่วยระบบประสาทและกระดูกสันหลัง รวมถึงผู้สูงอายุระดับแนวหน้าของเอเชีย ภายใต้มาตรฐานการดูแลที่ดีที่สุด เพื่อให้คนไทยทุกคนได้เข้าถึงการรักษาคุณภาพสูงอย่างเท่าเทียม เรายังคงยึดมั่นในรากฐานเดิม คือ "ความจริงใจ ความเรียบง่าย และคุณธรรม" ที่ไม่เคยเปลี่ยน เพราะเราเชื่อว่าหัวใจของการบริการคือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้รับบริการ

บทสรุปและกำลังใจจากใจ "หมอต้น"

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ โรคระบบประสาทและสมอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความจำ ความเคลื่อนไหว หรืออาการปวดเรื้อรัง อาจสร้างความกังวลใจให้กับทั้งผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักว่าปัญหาเหล่านี้สามารถรักษาและฟื้นฟูให้ดีขึ้นได้เสมอ


การเข้าใจถึงทางเลือกในการรักษา ตั้งแต่ยาบำรุงสมองทั่วไปอย่าง Tanakan และ Tebonin forte ไปจนถึงยาฟื้นฟูเซลล์สมองที่ตรงจุดอย่าง Cerebrolysin และ Somazina รวมถึงการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการกระตุ้นสมองและเส้นประสาทด้วย โปรแกรม TMS, โปรแกรม PMS และโปรแกรม TPS ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวและกลับมามีสุขภาพสมองที่แข็งแรงแจ่มใสได้อีกครั้ง


ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดี รักษาสุขภาพกายและสุขภาพใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคระบบประสาทและสมอง หรือโปรแกรมการรักษาต่างๆ ที่ผมกล่าวถึง ผมและทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่เชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH), แทรงควิลา (Tranquila Elderly Care) และคลินิกหมอต้น - ณัฐวรรธ โรคระบบประสาทและสมอง ยินดีให้คำแนะนำและพร้อมดูแลทุกท่านอย่างเต็มที่ครับ


เราพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางชีวิตของคุณและคนที่คุณรัก เพื่อมอบการดูแลที่ดีที่สุดและคืนคุณภาพชีวิตที่สดใสให้กลับคืนมา ด้วยความเคารพ เข้าใจ และจริงใจเสมอครับ


👩‍⚕️ ท่านสามารถปรึกษาการรับประทานยา และดูแลสุขภาพ หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูล นัดหมายได้ที่

📞 094-267-9798

🌐 Website : www.cmnh.co.th

●—————◦◉◦—————●

ศูนย์ดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุ แทรงควิลา - Tranquila Elderly Care

ศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์

คลินิกหมอต้น - ณัฐวรรธ โรคระบบประสาทและสมอง

Health Home Care เชียงใหม่ บริการเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน โรงพยาบาล

เช่า - ขาย อุปกรณ์การแพทย์ ถังออกซิเจน เตียงผู้ป่วยเชียงใหม่

 
 
 

ความคิดเห็น


bottom of page