อย่ามองข้ามแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง: คู่มือวิธีป้องกันและดูแลแผลกดทับจากศูนย์ดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) โดยคุณเจี๊ยบ (พยาบาลวิชาชีพ)
- SPARK IDEA Digital Marketing

- 6 มี.ค.
- ยาว 4 นาที
อัปเดตเมื่อ 14 มี.ค.

สวัสดีค่ะ ดิฉัน เจี๊ยบ กรรณิการ์ วิฑูรย์ พยาบาลวิชาชีพ หนึ่งในผู้บริหารศูนย์ดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) ค่ะ ในฐานะที่เจี๊ยบ คลุกคลีกับการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงมาอย่างยาวนาน สิ่งหนึ่งที่ดิฉันและทีมงาน CMNH ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งคือเรื่องของ แผลกดทับ ค่ะ หลายท่านอาจมองว่าแผลกดทับเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว แผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง สามารถนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียวค่ะ ในบทความนี้ ดิฉันจึงขออาสาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จาก CMNH เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงความสำคัญของการป้องกันและดูแลแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียงอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพค่ะ โดยเราจะเน้นไปที่การให้ข้อมูลที่ละเอียด ครอบคลุม และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อให้ผู้ดูแลและญาติผู้ป่วยสามารถดูแลคนที่รักได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับให้ได้มากที่สุดค่ะ
ที่ศูนย์ดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) เราเน้นการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมเพื่อให้ทุกท่านสามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากความถนัดในการฟื้นฟูกลุ่มผู้ป่วยอ่อนแรง (Stroke) แล้ว กลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลพิเศษโดยเฉพาะในเรื่องของการทำกิจกรรมบำบัดและการรักษาแผลกดทับที่เกิดจากการนอนติดเตียงเป็นระยะเวลานานก็สำคัญเช่นเดียวกัน วันนี้เจี๊ยบจะมาแบ่งปันข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแผลกดทับ (Pressure Ulcer) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยติดเตียง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด การรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับแผลกดทับ รวมถึงวิธีการป้องกันและรักษาแผลกดทับ เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยให้เกิดแผลและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
แผลกดทับคืออะไร?
แผลกดทับ หรือที่เรียกกันว่า "แผลกดทับ" หรือ "แผลเบาะ" คือแผลที่เกิดจากการกดทับบริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนและเกิดการตายในที่สุด แผลกดทับมักเกิดขึ้นบริเวณปุ่มกระดูก เช่น ส้นเท้า ข้อศอก สะโพก และกระดูกสันหลัง
ลองจินตนาการถึงท่อประปาที่กำลังส่งน้ำไปหล่อเลี้ยงต้นไม้ในสวนของเรานะคะ ถ้าท่อประปาเกิดถูกอะไรหนักๆ ทับไว้นานๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำจะไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงต้นไม้ได้อย่างสะดวก ต้นไม้ก็จะเริ่มเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด
แผลกดทับก็มีลักษณะคล้ายกันเลยค่ะ ผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังของเราก็เหมือนกับต้นไม้ที่ต้องการน้ำและอาหาร (ซึ่งก็คือเลือดที่นำพาออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ มาหล่อเลี้ยง) หากบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายถูกกดทับเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นจากน้ำหนักตัวของเราเองที่นอนทับอยู่บนเตียง หรือจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ที่สัมผัสกับผิวหนังเป็นเวลานาน แรงกดนั้นก็จะไป "บีบทับ" หลอดเลือดขนาดเล็กที่ทำหน้าที่นำพาเลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้น
เมื่อหลอดเลือดถูกบีบทับ การไหลเวียนของเลือดก็จะติดขัด ทำให้เซลล์ผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณนั้น ขาดออกซิเจนและสารอาหาร ที่จำเป็นในการดำรงอยู่ เมื่อเซลล์เหล่านี้ขาดอาหารและออกซิเจนเป็นเวลานาน ก็จะเริ่มอ่อนแอ เสียหาย และตายไปในที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ การเกิด "แผล" ขึ้นมานั่นเองค่ะ

บริเวณที่พบบ่อย... จุดที่กระดูก "โผล่" ออกมามากที่สุด
โดยทั่วไปแล้ว แผลกดทับมักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่กระดูกของเราอยู่ใกล้กับผิวหนังมากที่สุด และเป็นจุดที่มักจะถูกกดทับเมื่อนอนหรือนั่งเป็นเวลานาน เช่น
บริเวณก้นกบและกระดูกเชิงกราน: เวลานอนหงายหรือนั่ง
บริเวณสะโพก: เวลานอนตะแคง
บริเวณข้อศอก: เวลานอนหงายหรือตะแคง
บริเวณส้นเท้า: เวลานอนหงาย
บริเวณข้อเท้าด้านนอกและด้านใน: เวลานอนตะแคง
บริเวณท้ายทอยและกระดูกสันหลัง: เวลานอนหงาย
ในผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้เอง บริเวณเหล่านี้จะถูกกดทับอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดแผลกดทับค่ะ
ไม่ใช่แค่ผิวเผิน... ลึกซึ้งกว่าที่คิด
สิ่งที่สำคัญที่อยากจะเน้นย้ำก็คือ แผลกดทับไม่ใช่แค่รอยแดงๆ หรือแผลถลอกเล็กน้อยบนผิวหนังเท่านั้นนะคะ ในบางกรณี แผลกดทับสามารถลึกได้ถึงชั้นกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อเลยทีเดียว ซึ่งจะทำให้การรักษาเป็นไปได้ยากลำบากมากขึ้น และอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้
ดังนั้น การทำความเข้าใจว่าแผลกดทับเกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่ออันเนื่องมาจากการถูกกดทับเป็นเวลานาน จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและดูแลอย่างถูกวิธีค่ะ ที่เชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) เราจึงให้ความสำคัญกับการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ "แผลทับ" นี้ในผู้ป่วยทุกรายที่เราดูแลค่ะ
หวังว่าคำอธิบายนี้จะช่วยให้ทุกท่านเข้าใจถึงที่มาของแผลกดทับได้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะคะ ในหัวข้อต่อไป เราจะมาพูดถึงสาเหตุเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับมากขึ้นค่ะ
สาเหตุที่ทำให้เกิดแผลกดทับ
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจกันแล้วว่าแผลกดทับคืออะไร ในหัวข้อนี้ เจี๊ยบจะมาอธิบายถึง สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดแผลกดทับ ในผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษค่ะ
สาเหตุหลักของการเกิดแผลกดทับนั้น จริงๆ แล้วมีอยู่ไม่กี่ประการ แต่เมื่อปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้นร่วมกัน หรือเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลมากขึ้นค่ะ
1. แรงกดทับ (Pressure): ต้นเหตุสำคัญที่สุด
อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อก่อนหน้า แรงกดทับ คือสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดแผลกดทับค่ะ เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายถูกกดทับอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณที่มีกระดูกอยู่ใกล้ผิวหนัง เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า แรงกดนี้จะไปบีบอัดหลอดเลือดฝอย ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้อย่างเพียงพอ
ระยะเวลาของการกดทับ: ยิ่งถูกกดทับนานเท่าไหร่ ความเสี่ยงในการเกิดแผลก็จะยิ่งสูงขึ้น แม้แต่การกดทับด้วยแรงที่ไม่มากนัก แต่หากเกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ก็สามารถทำให้เกิดแผลได้
ความรุนแรงของการกดทับ: แรงกดทับที่มากก็จะยิ่งทำให้หลอดเลือดถูกบีบอัดมากขึ้น และทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดได้เร็วขึ้น
ตัวอย่าง: ลองนึกภาพผู้ป่วยที่นอนหงายอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน โดยไม่มีการพลิกตัว บริเวณก้นกบและส้นเท้าจะเป็นจุดที่รับน้ำหนักตัวมากที่สุด ทำให้เกิดแรงกดทับอย่างต่อเนื่อง และเป็นบริเวณที่มักจะพบแผลกดทับได้บ่อยค่ะ
2. แรงเฉือน (Shear): การเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดความเสียหาย
แรงเฉือน เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังชั้นนอกอยู่กับที่ แต่เนื้อเยื่อและกระดูกด้านในเคลื่อนที่ เช่น เวลาที่เรายกศีรษะเตียงขึ้นสูงๆ ผู้ป่วยอาจจะค่อยๆ เลื่อนตัวลงมา ทำให้ผิวหนังบริเวณก้นกบและกระดูกเชิงกรานถูกดึงรั้งและเสียดสีกับพื้นเตียง
ผลกระทบต่อหลอดเลือด: แรงเฉือนจะทำให้หลอดเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถูกยืดหรือฉีกขาด ทำให้การไหลเวียนของเลือดถูกขัดขวาง และนำไปสู่การขาดเลือดของเนื้อเยื่อได้
ตัวอย่าง: การดึงหรือเลื่อนตัวผู้ป่วยบนเตียงโดยไม่ระมัดระวัง หรือการที่ผู้ป่วยพยายามขยับตัวบนเตียงโดยที่ผิวหนังยังคงเสียดสีกับผ้าปูที่นอน ก็สามารถทำให้เกิดแรงเฉือนได้ค่ะ
3. แรงเสียดสี (Friction): การถูไถที่ทำร้ายผิวหนัง
แรงเสียดสี เกิดจากการที่ผิวหนังถูกถูไถกับพื้นผิวอื่นๆ ซ้ำๆ เช่น การที่ผิวหนังสัมผัสและเสียดสีกับผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์
ผลกระทบต่อผิวหนัง: แรงเสียดสีจะทำให้ผิวหนังชั้นนอกถูกทำลาย เกิดการถลอก หรือเป็นรอยแดง ทำให้ผิวหนังอ่อนแอและง่ายต่อการเกิดแผลกดทับเมื่อมีแรงกดทับร่วมด้วย
ตัวอย่าง: การที่ผู้ป่วยขยับตัวไปมาบนเตียงโดยที่ผิวหนังเสียดสีกับผ้าปูที่นอนที่หยาบ หรือการที่ผิวหนังถูกเสียดสีกับสายสวนปัสสาวะ หรือสายให้อาหาร ก็สามารถทำให้เกิดแรงเสียดสีได้ค่ะ
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ส่งเสริมการเกิดแผลกดทับ:
นอกจากสาเหตุหลัก 3 ประการข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยได้ ดังนี้ค่ะ
ภาวะทุพโภชนาการและการขาดน้ำ: ผิวหนังที่ขาดสารอาหารและน้ำจะมีความเปราะบาง ขาดความยืดหยุ่น และไม่สามารถทนต่อแรงกดทับได้ดีเท่าที่ควร
การควบคุมการขับถ่ายไม่ได้: ความชื้นจากปัสสาวะหรืออุจจาระที่สัมผัสกับผิวหนังเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวหนังอ่อนแอ เปื่อยยุ่ย และง่ายต่อการเกิดแผลและการติดเชื้อ
การไหลเวียนโลหิตไม่ดี: ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหลอดเลือด หรือภาวะหัวใจล้มเหลว มักจะมีการไหลเวียนโลหิตที่ไม่ดี ทำให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารน้อยลง
ภาวะสุขภาพโดยรวม: ผู้ป่วยที่มีภาวะสุขภาพอ่อนแอ มีโรคประจำตัวหลายอย่าง หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ จะมีความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับสูงกว่าผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง
ระดับความรู้สึกตัวลดลง: ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว หรือมีภาวะทางสมองที่ทำให้ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายจากการถูกกดทับ จะไม่สามารถบอกหรือขยับร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดทับได้
อายุที่มากขึ้น: ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะมีผิวหนังที่บางและแห้งกว่าคนหนุ่มสาว ทำให้ผิวหนังมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลได้ง่ายขึ้น
ที่เชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) เราตระหนักถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นอย่างดีค่ะ ทีมงานของเราจึงให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละรายอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้วางแผนการดูแลและป้องกันการเกิดแผลกดทับได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ ในหัวข้อต่อไป เราจะมาเจาะลึกถึงอาการแผลกดทับกันนะคะ
อาการของแผลกดทับ
เจี๊ยบจะมาอธิบายถึง อาการของแผลกดทับ ในแต่ละระยะ เพื่อให้ผู้ดูแลและญาติผู้ป่วยสามารถสังเกตและรับรู้ถึงความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ การสังเกตอาการตั้งแต่ระยะแรกๆ จะช่วยให้เราสามารถให้การดูแลรักษาได้อย่างรวดเร็วและป้องกันไม่ให้แผลลุกลามไปยังระยะที่รุนแรงขึ้นได้ค่ะ
อาการของแผลกดทับจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของแผล ดังนี้ค่ะ
ระยะที่ 1: ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ในระยะเริ่มต้นนี้ ผิวหนังยังคงสภาพดี แต่จะเริ่มแสดงอาการผิดปกติให้เห็นค่ะ อาการที่สังเกตได้คือ

รอยแดงที่ไม่จางหาย: บริเวณที่ถูกกดทับจะมีรอยแดงเกิดขึ้น และเมื่อใช้นิ้วมือกดลงไป รอยแดงนั้นจะไม่จางหายไปเหมือนรอยแดงจากการกดทับชั่วคราว นี่เป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าการไหลเวียนของเลือดในบริเวณนั้นเริ่มมีปัญหา
ผิวหนังอุ่นหรือเย็นกว่าบริเวณอื่น: บริเวณที่เกิดรอยแดงอาจมีความรู้สึกอุ่นกว่าหรือเย็นกว่าผิวหนังบริเวณข้างเคียง
ผิวหนังบวมหรือแข็ง: อาจสังเกตเห็นว่าผิวหนังบริเวณนั้นมีอาการบวมเล็กน้อย หรือรู้สึกแข็งเมื่อสัมผัส
อาการเจ็บหรือคัน: ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหรือไม่สบาย หรือมีอาการคันบริเวณนั้น
สิ่งที่ควรสังเกต: ในระยะนี้ ผิวหนังจะยังไม่มีรอยเปิดหรือฉีกขาด แต่การเปลี่ยนแปลงของสีผิวและความรู้สึกเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญค่ะ
ระยะที่ 2: ผิวหนังมีการสูญเสียบางส่วน
เมื่อแผลกดทับลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 2 ผิวหนังจะเริ่มมีการเสียหายที่ชัดเจนขึ้นค่ะ อาการที่สังเกตได้คือ:
แผลเปิด: จะเริ่มมีแผลเปิดเกิดขึ้น อาจมีลักษณะเป็นแผลตื้นๆ คล้ายรอยถลอก หรืออาจมีลักษณะเป็นตุ่มพองใสหรือตุ่มพองแตก
สีชมพูหรือแดง: ฐานของแผลจะมีสีชมพูหรือแดง
อาจมีน้ำเหลืองไหลซึม: แผลอาจมีน้ำเหลืองใสๆ ไหลซึมออกมาเล็กน้อย
อาการเจ็บปวด: ผู้ป่วยมักจะรู้สึกเจ็บปวดบริเวณแผล
สิ่งที่ควรสังเกต: ในระยะนี้ ผิวหนังชั้นนอก (หนังกำพร้า) หรือชั้นหนังแท้บางส่วนได้ถูกทำลายไปแล้วค่ะ
ระยะที่ 3: ผิวหนังมีการสูญเสียทั้งหมด
ในระยะนี้ แผลกดทับจะลึกลงไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนังค่ะ อาการที่สังเกตได้คือ
แผลลึก: แผลจะมีความลึกมากขึ้น มองเห็นชั้นไขมันสีเหลืองใต้ผิวหนัง
อาจมีเนื้อตาย: อาจพบเนื้อตายสีเหลือง (Slough) หรือสีดำ (Eschar) อยู่ในแผล
อาจมีหนอง: หากมีการติดเชื้อ อาจพบหนองไหลออกมาจากแผล
อาจมีขอบแผลที่ม้วนลง: ขอบของแผลอาจม้วนตัวลงด้านใน
อาจไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก: เนื่องจากเส้นประสาทอาจถูกทำลายไปแล้ว ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวดมากเท่าในระยะที่ 2
สิ่งที่ควรสังเกต: ในระยะนี้ การดูแลรักษาจะซับซ้อนมากขึ้น และมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงขึ้นค่ะ
ระยะที่ 4: ผิวหนังและเนื้อเยื่อมีการสูญเสียทั้งหมด
เป็นระยะที่รุนแรงที่สุดของแผลกดทับค่ะ แผลจะลึกมากจนมองเห็นกล้ามเนื้อ กระดูก เอ็น หรือข้อต่อ
แผลลึกมาก: แผลจะมีความลึกมากจนเห็นโครงสร้างภายใน
เนื้อตายและหนอง: มักพบเนื้อตายสีเหลืองหรือดำ และอาจมีหนองไหลออกมาจำนวนมาก
ความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง: มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดการติดเชื้อที่กระดูกและข้อต่อ (Osteomyelitis) หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
อาจมีโพรงใต้แผล (Tunneling หรือ Undermining): อาจพบโพรงหรือทางเดินใต้ผิวหนังรอบๆ แผล
อาจไม่รู้สึกเจ็บปวด: เช่นเดียวกับระยะที่ 3 ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวดเนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลาย
สิ่งที่ควรสังเกต: การดูแลรักษาในระยะนี้ต้องอาศัยทีมแพทย์และพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ และมักต้องใช้เวลานานในการรักษา
สัญญาณเตือนที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์
นอกเหนือจากอาการในแต่ละระยะแล้ว หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ
แผลมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือลึกขึ้นอย่างรวดเร็ว
มีหนองหรือของเหลวสีผิดปกติไหลออกมาจากแผล
มีกลิ่นเหม็นรุนแรงจากแผล
ผิวหนังรอบแผลมีอาการบวมแดง ร้อน หรือเจ็บปวดมากขึ้น
ผู้ป่วยมีไข้ หนาวสั่น หรือมีอาการอ่อนเพลีย
ที่เชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) น้อง ๆ ทีมงานของเราได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีในการสังเกตอาการของแผลกดทับในทุกระยะค่ะ เราจะทำการตรวจสภาพผิวหนังของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และให้การดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันไม่ให้แผลลุกลามและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงค่ะ การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและการสื่อสารกับทีมผู้ดูแลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงนะคะ
วิธีการป้องกันแผลกดทับ
การป้องกันแผลกดทับ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเองค่ะ การป้องกันที่ดีจะช่วยลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา และที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ ที่ CMNH เรามีแนวทางการป้องกันแผลกดทับที่ครอบคลุมและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้ค่ะ

1. การปรับเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอ: "พลิกตัวทุก 2 ชั่วโมง คือกฎเหล็กของเรา"
นี่คือหลักการที่สำคัญที่สุดในการป้องกันแผลกดทับค่ะ การพลิกตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง จะช่วยลดแรงกดทับที่บริเวณเดิมๆ และทำให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
ตารางการพลิกตัว: เราจะมีการจัดทำตารางการพลิกตัวสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย และติดตามการพลิกตัวอย่างใกล้ชิด
ท่านอนที่หลากหลาย: เราจะสลับท่านอนของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นท่านอนหงาย ท่านอนตะแคงซ้าย หรือท่านอนตะแคงขวา เพื่อกระจายแรงกดทับไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
การใช้อุปกรณ์ช่วย: เราจะใช้อุปกรณ์ช่วยในการจัดท่านอน เช่น หมอน wedges หรือ roll เพื่อรองรับและลดแรงกดทับบริเวณปุ่มกระดูกต่างๆ เช่น ก้นกบ สะโพก ข้อศอก หัวเข่า และข้อเท้า
การบันทึก: ทุกครั้งที่มีการพลิกตัว จะมีการบันทึกเวลาและท่าทาง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการพลิกตัวอย่างสม่ำเสมอ
2. การดูแลผิวหนังอย่างพิถีพิถัน: "ผิวหนังที่สะอาดและชุ่มชื้นคือเกราะป้องกันชั้นดี"
การดูแลผิวหนังของผู้ป่วยให้สะอาดและชุ่มชื้นจะช่วยให้ผิวหนังแข็งแรงและทนต่อแรงกดทับได้ดีขึ้น
การทำความสะอาด: เราจะทำความสะอาดผิวหนังของผู้ป่วยด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อนๆ ที่ไม่มีฤทธิ์รุนแรงต่อผิว วันละ 2 ครั้ง หรือเมื่อสกปรก โดยเฉพาะหลังการขับถ่าย
การเช็ดให้แห้ง: หลังทำความสะอาด จะต้องเช็ดผิวหนังให้แห้งสนิท โดยเฉพาะบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น ใต้ราวนม ข้อพับต่างๆ และบริเวณอวัยวะเพศ
การให้ความชุ่มชื้น: เราจะทาโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวที่อ่อนโยน เพื่อช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นและลดการแห้งแตก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือน้ำหอมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
การตรวจสภาพผิวหนัง: ทีมสหวิชาชีพของเราจะตรวจสภาพผิวหนังของผู้ป่วยอย่างละเอียดทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อสังเกตความผิดปกติ เช่น รอยแดง ตุ่มพอง หรือแผลเปิด หากพบความผิดปกติ จะได้ทำการดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
3. การจัดการความชื้นอย่างเหมาะสม: "ความแห้งสบายคือสิ่งที่เราใส่ใจ"
ความชื้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวหนังอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ ดังนั้นการจัดการความชื้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
การใช้แผ่นรองซับ: เราจะใช้แผ่นรองซับที่สามารถดูดซับความชื้นได้ดี และเปลี่ยนแผ่นรองซับทันทีเมื่อเปียกชื้น ไม่ปล่อยให้ผิวหนังสัมผัสกับความชื้นเป็นเวลานาน
การทำความสะอาดหลังการขับถ่าย: หลังการขับถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ เราจะทำความสะอาดบริเวณนั้นด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งสนิท อาจใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหนังเฉพาะที่ (Skin Cleanser) ที่มีค่า pH เป็นกลาง
การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันผิวหนัง: ในบางกรณี อาจมีการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันผิวหนัง เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของ Zinc Oxide หรือ Barrier Cream เพื่อสร้างเกราะป้องกันผิวหนังจากความชื้น
4. การดูแลด้านโภชนาการและน้ำ: "อาหารและน้ำคือยาบำรุงผิวหนังที่ดีที่สุด"
ภาวะโภชนาการที่ดีและการได้รับน้ำอย่างเพียงพอมีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังและความสามารถในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
การประเมินภาวะโภชนาการ: เราจะประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วยแต่ละราย และให้คำแนะนำด้านอาหารที่เหมาะสม
การจัดอาหารที่มีประโยชน์: เราจะจัดอาหารที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่เพียงพอ โดยเฉพาะวิตามินซีและสังกะสี ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนและสมานแผล
การให้สารอาหารเสริม: ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อาจมีการพิจารณาให้สารอาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์
การดูแลเรื่องการดื่มน้ำ: เราจะดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้ผิวหนังแห้งและเปราะบาง
5. การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยลดแรงกดทับ: "เทคโนโลยีที่ช่วยดูแล"
การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดแรงกดทับและป้องกันการเกิดแผลกดทับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่นอนลม: ที่นอนลมจะช่วยกระจายแรงกดทับและลดแรงกดทับเฉพาะจุด มีหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย
หมอนรอง: การใช้หมอนรองบริเวณปุ่มกระดูกต่างๆ เช่น ข้อศอก หัวเข่า และข้อเท้า จะช่วยยกส่วนนั้นให้พ้นจากพื้นเตียง ลดแรงกดทับในบริเวณนั้น
แผ่นรองส้นเท้า: แผ่นรองส้นเท้าจะช่วยยกส้นเท้าให้พ้นจากพื้นเตียง ลดแรงกดทับบริเวณส้นเท้า
เบาะรองนั่ง: สำหรับผู้ป่วยที่สามารถนั่งได้ การใช้เบาะรองนั่งที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงกดทับก็มีความสำคัญ
6. การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างถูกวิธี: "ความนุ่มนวลคือสิ่งที่เราใส่ใจ"
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดแรงเฉือนและแรงเสียดสี ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดแผลกดทับได้
การใช้ผ้ารองเลื่อน (Slide Sheet): เราจะใช้ผ้ารองเลื่อนในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อลดแรงเสียดสีระหว่างผิวหนังกับพื้นเตียง
การยกแทนการลาก: เราจะยกตัวผู้ป่วยแทนการลาก เพื่อหลีกเลี่ยงแรงเฉือน
การขอความช่วยเหลือ: หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่มีน้ำหนักมาก หรือผู้ป่วยที่ไม่ให้ความร่วมมือ ควรขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่คนอื่น เพื่อป้องกันการบาดเจ็บทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ดูแล
7. การส่งเสริมการเคลื่อนไหวและการทำกิจกรรมบำบัด: "ขยับร่างกาย...ลดความเสี่ยง"
แม้ว่าผู้ป่วยจะติดเตียง แต่การส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหวเท่าที่สามารถทำได้ และการทำ กิจกรรมบำบัดผู้ป่วยติดเตียง เป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ

การบริหารข้อต่อ: เราจะช่วยผู้ป่วยบริหารข้อต่อต่างๆ เพื่อป้องกันข้อติดและส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต
การเปลี่ยนท่าทางด้วยตนเอง (ถ้าทำได้): หากผู้ป่วยสามารถขยับร่างกายได้บ้าง เราจะสนับสนุนและให้กำลังใจให้ผู้ป่วยพยายามเปลี่ยนท่าทางด้วยตนเองบ่อยๆ
การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ: นักกายภาพบำบัดจะออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย เพื่อรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
8. การให้ความรู้แก่ผู้ดูแลและญาติ:
การให้ความรู้แก่ผู้ดูแลและญาติผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและดูแลแผลกดทับเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ทั้งที่บ้านและที่สถานพยาบาล
ที่เชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) เราให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมทีมงานของเราอย่างสม่ำเสมอในเรื่องของการป้องกันแผลกดทับ และเรายังให้คำแนะนำและให้ความรู้แก่ญาติผู้ป่วยเพื่อให้สามารถดูแลคนที่รักได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยค่ะ การป้องกันแผลกดทับต้องอาศัยความใส่ใจและความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุดค่ะ

วิธีการรักษาแผลกดทับ
วิธีการรักษาแผลกดทับ เมื่อเกิดแผลขึ้นแล้ว การดูแลรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการลุกลาม การติดเชื้อ และส่งเสริมการหายของแผลค่ะ ที่ CMNH เรามีแนวทางการรักษาแผลกดทับที่อิงตามหลักการทางการแพทย์และปรับให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้ค่ะ

1. การประเมินแผลอย่างละเอียด: "การวินิจฉัยที่แม่นยำนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ"
ขั้นตอนแรกในการรักษาแผลกดทับคือการประเมินแผลอย่างละเอียด เพื่อระบุระดับความรุนแรง ขนาด ความลึก ตำแหน่ง ลักษณะของเนื้อเยื่อในแผล (เช่น มีเนื้อตายหรือไม่) และอาการของการติดเชื้อ การประเมินนี้จะช่วยให้ทีมแพทย์และพยาบาลสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้
2. การลดแรงกดทับ: "หัวใจสำคัญของการรักษาคือการหยุดต้นเหตุ"
เช่นเดียวกับการป้องกัน การลดแรงกดทับบริเวณแผลยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาแผลกดทับ เพื่อให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้รับการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้นและสามารถฟื้นตัวได้
การปรับเปลี่ยนท่าทาง: เราจะพลิกตัวผู้ป่วยบ่อยขึ้น โดยอาจพลิกทุก 1-2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพแผลและคำแนะนำของแพทย์
การใช้อุปกรณ์ช่วยลดแรงกดทับ: เราจะใช้ที่นอนลม หมอนรอง หรือแผ่นรองต่างๆ เพื่อกระจายแรงกดทับออกจากบริเวณแผล
การหลีกเลี่ยงการกดทับโดยตรง: เราจะระมัดระวังไม่ให้เกิดการกดทับโดยตรงที่บริเวณแผล เช่น การวางผู้ป่วยในท่าที่ทับแผล หรือการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่กดทับบริเวณแผล
3. การทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี: "ความสะอาดคือปราการด่านแรกของการหาย"
การทำความสะอาดแผลอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรก แบคทีเรีย และเนื้อตายออกจากแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อและส่งเสริมการหายของแผล
การล้างแผล: เราจะล้างแผลด้วยน้ำเกลือ (Normal Saline) ที่สะอาด หรือน้ำยาทำความสะอาดแผลที่แพทย์สั่ง โดยใช้อุปกรณ์ที่สะอาดและปราศจากเชื้อ
ความถี่ในการล้างแผล: ความถี่ในการล้างแผลจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของแผล โดยทั่วไปอาจล้างวันละ 1-2 ครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์
การทำให้แผลแห้ง: หลังล้างแผล จะต้องซับแผลให้แห้งอย่างเบามือด้วยผ้าก๊อซสะอาด
4. การตัดเนื้อตาย (Debridement): "การกำจัดสิ่งกีดขวางการหายของแผล"
ในกรณีที่แผลมีเนื้อตายสีเหลือง (Slough) หรือสีดำ (Eschar) แพทย์อาจพิจารณาทำการตัดเนื้อตายออก เพื่อให้แผลสะอาดและเนื้อเยื่อใหม่สามารถเติบโตได้ การตัดเนื้อตายควรดำเนินการโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
วิธีการตัดเนื้อตาย: มีหลายวิธีในการตัดเนื้อตาย เช่น การใช้เครื่องมือผ่าตัด การใช้เอนไซม์ หรือการใช้ผ้าก๊อซเปียกและแห้ง ขึ้นอยู่กับลักษณะของเนื้อตายและสภาพของผู้ป่วย
5. การเลือกใช้วัสดุปิดแผลที่เหมาะสม: "การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการหาย"
การเลือกใช้วัสดุปิดแผลที่เหมาะสมกับชนิดและระยะของแผลมีความสำคัญอย่างยิ่ง วัสดุปิดแผลที่ดีจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของแผล ป้องกันการติดเชื้อ ดูดซับน้ำเหลือง และส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
วัสดุปิดแผลแบบต่างๆ: มีวัสดุปิดแผลหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น
ผ้าก๊อซ (Gauze Dressing): ใช้สำหรับแผลที่มีน้ำเหลืองไหลซึมมาก
ฟองน้ำ (Foam Dressing): ช่วยดูดซับน้ำเหลืองและให้ความชุ่มชื้นแก่แผล
แผ่นฟิล์มใส (Film Dressing): ใช้สำหรับแผลตื้นๆ ที่ไม่มีน้ำเหลืองมากนัก
ไฮโดรเจล (Hydrogel Dressing): ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่แผลแห้ง
ไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid Dressing): ช่วยดูดซับน้ำเหลืองและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการหายของแผล
อัลจิเนต (Alginate Dressing): ใช้สำหรับแผลลึกที่มีน้ำเหลืองไหลซึมมาก
วัสดุปิดแผลที่มีส่วนผสมของยา: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งใช้วัสดุปิดแผลที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะหรือยาอื่นๆ เพื่อช่วยในการรักษา
ทีมสหวิชาชีพของเราจะประเมินลักษณะของแผลและเลือกใช้วัสดุปิดแผลที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และจะทำการเปลี่ยนวัสดุปิดแผลตามความถี่ที่กำหนด หรือเมื่อมีการเปรอะเปื้อน
6. การควบคุมการติดเชื้อ: "การป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง"
การติดเชื้อเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายของแผลกดทับ เราจึงให้ความสำคัญกับการป้องกันและควบคุมการติดเชื้ออย่างเข้มงวด
การดูแลความสะอาด: เราจะดูแลความสะอาดของแผลและบริเวณโดยรอบอย่างเคร่งครัด
การใช้ยาปฏิชีวนะ: หากแผลมีการติดเชื้อ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ ทั้งชนิดรับประทานหรือชนิดทา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ
การสังเกตอาการของการติดเชื้อ: เราจะสังเกตอาการของการติดเชื้ออย่างใกล้ชิด เช่น มีหนองไหลออกมา ผิวหนังรอบแผลบวมแดง ร้อน หรือผู้ป่วยมีไข้
7. การจัดการความเจ็บปวด: "การบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย"
ผู้ป่วยที่มีแผลกดทับอาจรู้สึกเจ็บปวด เราจึงให้ความสำคัญกับการจัดการความเจ็บปวดอย่างเหมาะสม
การให้ยาแก้ปวด: แพทย์อาจสั่งจ่ายยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์
การปรับเปลี่ยนท่าทาง: การปรับเปลี่ยนท่าทางอาจช่วยลดแรงกดทับบริเวณแผลและลดความเจ็บปวดได้
การดูแลแผลอย่างนุ่มนวล: ในขณะทำความสะอาดหรือเปลี่ยนวัสดุปิดแผล เราจะดำเนินการด้วยความนุ่มนวลเพื่อลดความเจ็บปวดของผู้ป่วย
8. การดูแลด้านโภชนาการและน้ำ: "อาหารและน้ำคือปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟู"
ภาวะโภชนาการที่ดีและการได้รับน้ำอย่างเพียงพอมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการหายของแผล

การประเมินและปรับปรุงภาวะโภชนาการ: เราจะติดตามภาวะโภชนาการของผู้ป่วย และปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อปรับปรุงแผนการรับประทานอาหารให้เหมาะสม โดยเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสมานแผล
การให้สารอาหารเสริม: ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อาจมีการพิจารณาให้สารอาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์
การดูแลเรื่องการดื่มน้ำ: เราจะดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ
9. การทำกายภาพบำบัด: "การฟื้นฟูร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ"
แม้ว่าการรักษาแผลกดทับจะเน้นที่การดูแลแผลโดยตรง แต่การทำ กายภาพบำบัดผู้ป่วยติดเตียง ก็มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต รักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และป้องกันการเกิดแผลกดทับซ้ำ
การบริหารข้อต่อ: ช่วยป้องกันข้อติดและส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต
การฝึกการเคลื่อนไหว: เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น นักกายภาพบำบัดจะช่วยฝึกการเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มความสามารถในการพลิกตัวและขยับร่างกายด้วยตนเอง
10. การติดตามและประเมินผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง:
ทีมสหวิชาชีพของเราจะติดตามและประเมินผลการรักษาแผลกดทับอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับความคืบหน้าของแผล

ที่เชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) เรามีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาแผลกดทับทุกระดับค่ะ เราเข้าใจดีว่าการรักษาแผลกดทับต้องใช้เวลาและความอดทน และต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งทีมผู้ดูแล ผู้ป่วย และญาติ เรามุ่งมั่นที่จะให้การดูแลรักษาที่ดีที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถหายจากแผลกดทับและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาแผลกดทับ สามารถติดต่อสอบถามมายัง CMNH ได้เลยนะคะ เรายินดีให้คำปรึกษาและดูแลคนที่ท่านรักค่ะ
ติดต่อศูนย์ดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยเชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH)
✉️ INBOX : m.me/100063480461230 ✉️ LINE OA : @cmnh หรือ https://lin.ee/obaGB9Z
📞 Tel. : 089-810-3889 , 080-124-8695

FAQ (คำถามที่พบบ่อย)
แผลกดทับคืออะไร? (What are pressure ulcers?)
แผลกดทับคือบาดแผลที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง อันเนื่องมาจากการถูกกดทับเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณนั้นได้ ส่งผลให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนและสารอาหารจนเกิดการตายของเซลล์และกลายเป็นแผลค่ะ
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดแผลกดทับ ? (Who is at high risk of developing pressure ulcers?)
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงคือผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง ผู้ที่มีภาวะทุพโภชนาการ ขาดน้ำ ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ มีการไหลเวียนโลหิตไม่ดี หรือมีระดับความรู้สึกตัวลดลงค่ะ
จะป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียงได้อย่างไรบ้าง ? (How can pressure ulcers be prevented in bedridden patients?)
การป้องกันทำได้โดยการปรับเปลี่ยนท่าทางผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง การดูแลผิวหนังให้สะอาดและชุ่มชื้น การจัดการความชื้น การดูแลด้านโภชนาการ การใช้เครื่องมือช่วยลดแรงกดทับ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างถูกวิธี และการทำกายภาพบำบัดค่ะ ที่ CMNH เราให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนเหล่านี้ค่ะ
สัญญาณเริ่มต้นของแผลกดทับมีอะไรบ้าง ? (What are the early signs of a pressure ulcer?)
สัญญาณเริ่มต้นที่พบบ่อยคือรอยแดงที่ไม่จางหายไปเมื่อกด ผิวหนังบริเวณนั้นอาจอุ่นหรือเย็นกว่าบริเวณอื่น บวม หรือแข็ง และผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหรือคันค่ะ
หากเกิดแผลกดทับแล้ว จะรักษาได้อย่างไรบ้าง? (How are pressure ulcers treated?)
การรักษาแผลกดทับจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแผลค่ะ หลักการสำคัญคือการลดแรงกดทับ การทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี การตัดเนื้อตาย (ถ้ามี) การเลือกใช้วัสดุปิดแผลที่เหมาะสม การควบคุมการติดเชื้อ การจัดการความเจ็บปวด การดูแลด้านโภชนาการ และการทำกายภาพบำบัดค่ะ
กิจกรรมบำบัดมีบทบาทอย่างไรในการป้องกันและรักษาแผลกดทับ (What is the role of physiotherapy in preventing and treating pressure ulcers?)
กิจกรรมบำบัดช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต รักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันข้อติด และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพลิกตัวหรือขยับร่างกายได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนสำคัญในการป้องกันและส่งเสริมการหายของแผลกดทับค่ะ
ทำไมถึงควรเลือก ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เชียงใหม่เนิร์สซิ่งโฮมแคร์ (CMNH) ในการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง (Why should I choose Chiang Mai Nursing Home Care (CMNH) for elderly care and bedridden patients?)
ที่ CMNH เรามีทีมงานสหวิชาชีพมืออาชีพที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ เราให้ความสำคัญกับการป้องกันและดูแลรักษาแผลกดทับอย่างมีมาตรฐาน พร้อมทั้งมอบบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุดค่ะ



ความคิดเห็น